ทริส คงเรทติ้ง AQUA ‘BBB-‘ แนวโน้ม Stable

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “AQUA” ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable” สะท้อนมีรายได้จำนวนมากจากค่าเช่าคลังสินค้า และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ

ทริสเรทติ้ง ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(AQUA) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนการมีรายได้ประจำจำนวนมาก จากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ

ทริส ระบุรายละเอียดว่า บริษัทได้มีการประกาศว่าจะทำการขายหุ้นสามัญของบริษัทในธุรกิจสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยให้แก่ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PLANB) ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่า 2.88 พันล้านบาท ในการนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวไปชำระคืนหนี้ที่มีอยู่ รวมทั้งใช้เป็นเงินสำรองสำหรับการลงทุนในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท

นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนจะซื้อหุ้นสามัญใน PLANB ในสัดส่วน 1.96% อีกด้วย รวมเป็นมูลค่า 606.48 ล้านบาท โดยการซื้อหุ้นสามัญดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ PLANB ในช่วงเดือนเมษายน 2565 ภายหลังจากเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจพลังงานด้วย

ในมุมมองของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกรรมการขายหุ้นในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในด้านโครงสร้างเงินทุนและสถานะสภาพคล่องของบริษัทจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทริสเรทติ้ง คาดว่า การขายหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาออกไปนั้น จะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง 59% มาอยู่ที่ระดับ 337 ล้านบาทในปี 2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9% ในปี 2565 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 4 เท่า

ทริสเรทติ้ง ประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทยังคงเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 1 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า คาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 233 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 คาดว่าบริษัทจะมีเงินสดในมือ และเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1 พันล้านบาท

ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมที่มีหลักประกันจากธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2564 อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 50% ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญของการด้อยสิทธิของภาระหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง

สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีรายได้ประจำจำนวนมาก จากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ

อย่างไรก็ตามการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่ความสามารถในการทำกำไรหรือผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างมีสาระสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนที่ใช้เงินกู้ยืมจำนวนมากที่อาจทำให้งบการเงิน และกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ที่กระแสเงินสดของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่บริษัทสามารถรักษาความแข็งแกร่งของงบดุลไว้ได้เป็นระยะเวลานาน

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business